วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กินผักผลไม้ล้างพิษ (Eat to Detoxify)


ผักสด ผลไม้ที่ไม่หวานจัดและพืชสมุนไพรให้กากใยช่วยในการขับถ่ายและทำความสะอาดลำไส้ ช่วยเพิ่มปริมาณการกำจัดสารตกค้างในร่างกายได้ งดเว้นอาหารหมักดอง อาหารขัดขาวหรือฟอกสี รวมไปถึงอาหารสำเร็จรูป แล้วเลือกกินผักสด เลือกแบบไม่มีสารปนเปื้อนหรือล้างเอายาฆ่าแมลงออกให้หมดยิ่งดี กินข้าวกล้อง ข้าวมันปูแทนข้าวขาว น้ำตาลทรายแดงแทนน้ำตาลขัดขาว ที่สำคัญกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยที่ไม่เลือกกินเนื้อสัตว์ แป้ง น้ำตาล มากจนเกินไป เพื่อรับแอนติออกซิแดนต์ และสารผัก ไปขจัดพิษ ภายในร่างกาย แต่สำหรับคนที่มีเวลาน้อย ไม่สามารถเลือกกินอาหารได้ครบ 5 หมู่ หรือวิตามินที่จำเป็น มีทางเลือกง่ายๆ คือปั่นน้ำผัก น้ำผลไม้ดื่มเป็นประจำ ก็ช่วยล้างพิษได้ค่ะ 
กินผักผลไม้ล้างพิษ (Eat to Detoxify)
ผัก ผลไม้ที่ล้างพิษได้ มีหลายชนิด แต่ให้เลือกง่าย ๆ คือให้มี 3 สีหลัก ได้แก่  1.สีเขียวเข้ม โดยเฉพาะคะน้า บรอกโคลี ขึ้นฉ่าย ปั่นกินก็ได้สักวันละ 4 ขีด   2.สีม่วงจัด โดยเฉพาะ องุ่น บี้ตรูทบลูเบอรี่ เชอรี่ ถ้าของไทย ๆ ก็มี ทับทิม ลูกหว้า อัญชัน กะหล่ำม่วง มะเขือม่วง หอมแดง ชมพู่แก้มแหม่ม ชมพู่มะเหมี่ยว ถั่วดำ ข้าวเหนียวดำ หรือ มันต่อเผือก  3.สีเหลืองแสดแดง โดยเฉพาะขมิ้น มะเขือเทศ มะละกอ ถั่วแดง
กินผักผลไม้ล้างพิษ (Eat to Detoxify)
ขอแนะนำแบบหาง่ายและล้างพิษได้ดีไม่แพ้ใคร 3 อย่าง คือ
1.แอปเปิลเขียว เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย เพราะมีธาตุต้านสนิมแก่ กับ กากล้างไส้ ซึ่งกากนี้หน้าตาเหมือนฟองน้ำเล็ก ๆ ที่จะไปเช็ด และซับสารพิษในขดไส้ที่บางทีการล้างพิษทางทวารไปไม่ถึง ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่
2.ถั่วดำและข้าวโพดสีม่วง มีกากใยแบบฟองน้ำช่วยล้างพิษมาก นอกจากนั้นยังมี ธาตุม่วงต้านร่วงโรยด้วย
3.สับปะรด แต่มีข้อแม้ว่าต้อง กินแกนด้วย เพราะของดีอยู่ที่แกนสับปะรด เพราะแอนตี้ออกซิแดนท์ ดี ๆ อยู่ที่แกนมาก และสับปะรดยังมี “พระเอกล้างพิษ” เป็นน้ำย่อยชื่อ “โบรมีเลน” ด้วย ตัวนี้เองที่ทำให้เรา “แสบลิ้น” และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ และช่วยกำจัดน้ำมูก

หลักง่าย ๆ ใน การล้างพิษทางปากด้วย การกิน มีดังนี้
        ล้างรายเดือน ให้เลือกวันล้างพิษสัก 3 วันต่อเนื่องกันในทุกเดือน จัดเมนูอาหารล้างพิษอย่างนี้ติดกัน 3 วันโดยไม่กิน เนื้อสัตว์
        ล้างรายสัปดาห์ ให้จัดวันกินอาหารล้างพิษสัปดาห์ละครั้ง
อย่างไรก็ตามมีข้อแม้ว่า ก่อนล้างพิษต้องงดกินเนื้อสัตว์ หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้จะกินก็ขอให้เลือกเนื้อสัตว์ที่มีสีขาว เช่น ปลา เพราะย่อยง่ายเหมือนเป็นการล้างลำไส้ก่อนสักวันหนึ่ง



ที่มา: http://comvariety.com/health-news/399-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9-eat-to-detoxify


1. กิน หวาน มากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ?
เฉลย…จริง เพราะเมื่อร่างกายมีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ผิว ทำให้เกิดภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน และเหี่ยวย่น ในที่สุด

   2. การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า จะทำให้ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ?
เฉลย…จริง โดยการยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้น จะทำให้โลหิต บริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้น

   3. เอาน้ำแข็งถูหน้า ก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ? เฉลย…ไม่จริง แต่แก้ปัญหาหน้ามันได้โดยการใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าให้ทั่วใบหน้า ทาแล้วไม่ต้องล้างออก เมือกจะแห้งไปเองภายใน ๕ - ๑๐ นาที ทำก่อนนอน แค่นี่หน้าก็จะหาย

   4. การสวมเสื้อผ้าหนาๆ เพื่อให้เหงื่อออกเยอะๆ จะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ?
เฉลย…ไม่จริง การที่เหงื่อออกเยอะคือ ภาวะที่ร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายความร้อนออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมันออกมา เพราะฉะนั้นพอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็จะเท่า เดิม

   5. คนผิวแห้งมีโอกาส เกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ?
เฉลย…จริง เพราะคนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือ สารไขมัน ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นคนผิวแห้งควรดูแล และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิวมัน

   6. การฝึกกลั้นหายใจ สามารถชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ?
เฉลย…จริง โดยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึงหายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย และรอยคล้ำ ได้

   7. การร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ?
เฉลย…ไม่จริง แต่การหัวเราะต่างหากที่ช่วย เผาผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ได้มากถึง 20% ซึ่งหากได้หัวเราะวันละสัก 10 -15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้มาก ถึง 50 แคลอรี



   8. กาวตราช้าง ใช้รักษาส้นเท้าแตกได้ จริงหรือ?
เฉลย…จริง เพราะ เมื่อปิดหนังที่แตกด้วย กาวตราช้าง สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ถูกรบกวน จึงมีการซ่อมแซมตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก กาวช้างก็จะหลุดออก ไป แต่ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง

   9. การเต้นรำ ทำให้ผิวสวยได้ จริงหรือ?
เฉลย…จริง เพราะ การเต้นรำเพียงวัน ละ 20 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้เลือดลมเดินทั่วผิว ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพดี

   10.การใส่กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำ ทำให้ขาใหญ่ได้ จริงหรือ?
เฉลย…จริง เพราะช่วงขาส่วนที่อยู่นอกกระโปรง จะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยเฉพาะ เมื่อผิวหนังเจอความหนาวเย็น ทำให้เกิดเซลลูไลท์

   11. การแลบลิ้นให้น้ำลายยืดลงพื้น 3 หยด จะแก้เผ็ดได้ จริงหรือ?
เฉลย…จริง อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แคปไซซิน ที่อยู่ในพริกเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรถที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฏิกิริยาโดยขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป

   12. ดูดนมยางของเด็กทารก ตอนนอนจะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ?
เฉลย…จริง การคาบหรืออมนมยางของเด็กทารก ไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่กระเทือน สั่นไหวขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากอีกด้วย

   13. การสูดกลิ่นตัวผู้ชาย ทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ?
เฉลย…จริง เพราะกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคนรักนั้น มีสารฟีโรโมนผสมอยู่ โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลดอาการเครียดและเหนื่อยล้าลงได้

   14. แสงแดดอ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ?
เฉลย…จริง เพราะแสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการสร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ถ้าหากเก็บตัวอยู่ แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการง่วง เหงา ซึมเซาได้

   15. การฟังเพลง ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ?
เฉลย...จริง เพราะ การฟังเพลงทำให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และบรรเทาอาการปวดข้อลงได้



           

           20 ร้านขายหนังสือที่สวยที่สุดในโลก


            ร้านขายหนังสือออนไลน์ชื่อดัง Amazon บางครั้งอาจดูน่ากลัวสำหรับร้านจำหน่ายหนังสือแบบปกติ ที่ต้องสร้างจากอิฐและปูนแถมยังต้องมีพื้นที่จัดเก็บอีก จึงไม่แปลกที่ร้านหนังสือทั่วโลกจะไม่ค่อยปลื้ม Amazon ซักเท่าไหร่  แต่...ทำไมหลายคนจึงทิ้งความสะดวกสบายของที่นอนของตน เมื่อเพียงแค่คลิกเบาๆ ที่ปุ่มก็สามารถสั้งหนังสือออนไลน์ได้แล้ว แถมยังมาส่งตรงถึงหน้าประตูอีกด้วย
และนี่คือเหตุผล : ร้านหนังสือที่สวยงามเป็นสาเหตหนึ่งที่สร้างแรงจูงใจในการออกจากบ้าน (หรือประเทศ) เพื่อไปเยี่ยมชม เราไม่สามารถประเมินค่าความสำคัญของร้านหนังสือได้  เพราะมันมีความสำคัญเป็นทั้งศูนย์กลางของการติดต่อชุมชน, สถานที่สืบค้นข้อมูลต่างๆ อีกทั้งยังเป็นอนุสาวรีย์ของวรรณกรรมทั้งหมด
วันนี้ทีมงาน Sanook! Campus  จึงได้รวบรวมร้านหนังสือที่สวยที่สุดในโลก จาก เบลเยียม ญี่ปุ่น สโลวเกีย ฯลฯ มาให้เพื่อนๆได้ชมกัน


1. Selexyz Bookstore, Maastricht, Holland
ร้านหนังสือแห่งนี้ สร้างมาจากโบสถ์เก่าทิ้งร้าง ทำให้รู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก

2. The Bookàbar Bookshop, Rome, Italy
การออกแบบที่ทันสมัยที่สุด ​​ของบริษัทที่ดีที่สุด ทำให้การจัดเก็บหนังสือเป็นที่สุดเช่นเดียวกัน

3. Plural Bookshop, Bratislava, Slovakia
เรารักร้านแห่งนี้ก็เพราะบันได และจอแสดงผลที่ชั้นหนังสือติดผนัง (เรียบง่ายแถมยังสะอาดอีก)

4. Livraria Lello, Porto, Portugal
ร้านหนังสือในแบบสถาปัตยกรรมแบบ นีโอโกธิค เปิดในปี 1906 นิยามที่ดีที่สุดของที่นี่ คือบันไดแห่งสวรรค์

5. Cook & Book, Brussels, Belgium
ร้านหนังสือนี้ออกแบบได้แปลกและน่ากลัวเล็กน้อย (น่าไปไม่เห็นน่ากลัวเลย)

6. Bookworm, Beijing, China
ความมหัศจรรย์ในอากาศ ร้านหนังสือภาษาอังกฤษในกรุงปักกิ่ง

7. Librería El Ateneo Grand Splendid, Buenos Aires, Argentina
มีทั้งโรงละคร ห้องพักสำหรับการอ่าน แถมยังต้อนรับนักท่องเที่ยวนับพันคนต่อปี 

8. Poplar Kid’s Republic, Beijing, China
ร้านหนังสือน่ารักๆ เหมาะที่สุดที่จะให้เด็กๆมานั่งอ่านหนังสือ

9. Livraria da Vila, Sao Paulo, Brazil
ร้านหนังสือที่ดูเหมือนว่าจะทำเกือบทั้งหมดออกมาจากหนังสือ ประตูด้านหน้ายังทำจากหนังสือ (ในรูปนี้ไม่เห็นรูปที่เห็นไม่ได้ลงอ่ะ)

10. Cafebreria El Pendulo, Mexico City, Mexico
สำหรับผู้ที่ต้องการพื้นที่สีเขียว (และร้านกาแฟ) ในร้านหนังสือ *-*
11. Shakespeare & Company, Paris, France
สร้างความประทับใจด้วยสถาปัตยกรรมที่ดึงความงามของหนังสือออกมา แถมจุดเด่นอีกอย่างคือทางเดินที่แคบได้ใจ (อยากไปแอบนอนจัง)

12. Los Angeles, CA
พื้นที่ขนาดใหญ่เพดานสูงและเสาโอฬารให้ประสบการณ์การอ่านที่แสนวิเศษ

13. Atlantis Books, Santorini, Greece
สำหรับชาวเรือและผู้อ่านบริเวณชายหาด ร้านหนังสือเล็กๆ แต่น่ารักแห่งนี้ พร้อมเปิดรับทุกคนเสมอ


14. Bart's Books, Ojai, California
ร้านหนังสือกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก

15. Corso Como Bookshop, Milan, Italy
ร้านหนังสือที่ซับซ้อนขนาดใหญ่ ที่ทุ่มเทให้กับศิลปะและการออกแบบอย่างจริงจัง

16. Barter Books, Alnwick, UK
จุดเด่นของที่นี่อยู่ที่เพดานกลม และไฟตกแต่ง ขอบอกว่ามันลงตัวมากๆ

 17. The American Book Center, Amsterdam, the Netherlands
ออกแบบสวยงามมีรูปร่างชวนแปลกใจ สร้างอย่างชาญฉลาด มีต้นไม้ตัดผ่านอยู่ในร้านด้วย (แจ่ม)

18. VVG Something, Taipei, Taiwan
ห้องสมุดแห่งนี้เต็มไปด้วยความคลาสสิก เป็นร้านเล็กๆแต่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนเรือยังไงยังงั้น

19. Ler Devagar, Lisbon, Portugal
ร้านนี้มีทีเด็ดที่จักรยานบินและหนังสือที่เพดาน เราจำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว... อิอิ

20. Daikanyama T-Site, Tokyo, Japan
11. Shakespeare & Company, Paris, France
สร้างความประทับใจด้วยสถาปัตยกรรมที่ดึงความงามของหนังสือออกมา แถมจุดเด่นอีกอย่างคือทางเดินที่แคบได้ใจ (อยากไปแอบนอนจัง)

12. Los Angeles, CA
พื้นที่ขนาดใหญ่เพดานสูงและเสาโอฬารให้ประสบการณ์การอ่านที่แสนวิเศษ

13. Atlantis Books, Santorini, Greece
สำหรับชาวเรือและผู้อ่านบริเวณชายหาด ร้านหนังสือเล็กๆ แต่น่ารักแห่งนี้ พร้อมเปิดรับทุกคนเสมอ


14. Bart's Books, Ojai, California
ร้านหนังสือกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก

15. Corso Como Bookshop, Milan, Italy
ร้านหนังสือที่ซับซ้อนขนาดใหญ่ ที่ทุ่มเทให้กับศิลปะและการออกแบบอย่างจริงจัง

16. Barter Books, Alnwick, UK
จุดเด่นของที่นี่อยู่ที่เพดานกลม และไฟตกแต่ง ขอบอกว่ามันลงตัวมากๆ

 17. The American Book Center, Amsterdam, the Netherlands
ออกแบบสวยงามมีรูปร่างชวนแปลกใจ สร้างอย่างชาญฉลาด มีต้นไม้ตัดผ่านอยู่ในร้านด้วย (แจ่ม)

18. VVG Something, Taipei, Taiwan
ห้องสมุดแห่งนี้เต็มไปด้วยความคลาสสิก เป็นร้านเล็กๆแต่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนเรือยังไงยังงั้น

19. Ler Devagar, Lisbon, Portugal
ร้านนี้มีทีเด็ดที่จักรยานบินและหนังสือที่เพดาน เราจำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว... อิอิ

20. Daikanyama T-Site, Tokyo, Japan
ร้านขายหนังสือที่ออกแบบได้ทันสมัยบวกกับการจัดเก็บที่สะอาดสะอ้าน เสน่ห์อีกอย่างอยู่ที่แสงและกระจก


ซูเปอร์มะเขือเทศ ดีเยี่ยมต่อร่างกาย



นักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐอเมริกาได้เปิดตัวมะเขือเทศ Super Tomato ชนิดใหม่ในชื่อ 'Indigo Rose Tomato' ผลมะเขือเทศที่แปลกตาด้วยสีม่วง เปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
ตามหลังจากการเปิดตัว 'Super Broccoli' ผักบร็อคโคลี่ต้านมะเร็งในประเทศอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว นักวิจัยจาก Oregon State University ได้เปิดตัวมะเขือเทศพันธุ์ใหม่ในชื่อ Indigo Rose เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบไปด้วยสาร Anthocyanin หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีผลให้มะเขือเทศพันธุ์นี้มีสีที่ต่างไปด้วยสีม่วงน้ำเงินสาร Anthocyanin เป็นที่รู้กันว่า เป็นสารที่ช่วยดูแลและรักษาระบบประสาท อีกทั้งยังช่วยลดความตึงเครียดและรักษาอาการอักเสบได้ ซึ่งมะเขือเทศ Indigo Rose นี้เป็นมะเขือเทศชนิดแรกที่ประกอบด้วยสาร Anthocyanin อีกทั้งยังสามารถปลูกโดยง่ายในสวนหลังบ้าน และมีวางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปถึงแม้ว่าผลบลูเบอร์รี่จะเป็นผลไม้ที่มีสาร Anthocyanin เข้มข้นกว่ามะเขือเทศ แต่ผลวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาชี้ว่ามะเขือเทศเป็นผักที่มีการบริโภคทุกวัน และมีความนิยมเป็นอันดับ 4 ในบรรดาผักและผลไม้ทั้งหมด โดยเป็นรองเพียงแค่ มันเทศ ผักกาด และผักหัวหอม
ผลมะเขือเทศ Indigo Rose ได้มีการพัฒนาตั้งแต่ช่วงปี 1960 โดยการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างมะเขือเทศและมะเขือเทศป่าจากประเทศชิลีและหมู่เกาะกาลาปากอส



ที่มา: http://campus.sanook.com/946599/%E0%B8%8B%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8-%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2/

เชอร์รี่ ผลไม้เพิ่มความสุข



สาวๆ รู้หรือไม่ว่า เชอร์รี่ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานซึ่งอุดมไปด้วย
วิตามินซีที่มีมากกว่าส้มถึง 
30-80 เท่านั้น นอกจาก
จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ชะลอ
ความแก่ และช่วยต้านอนุมูล-
อิสระแล้ว 
เชอร์รี่ยังมีคุณสมบัติ
ช่วยให้สาวๆ ทั้งหลายอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย
จากผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าการกินเชอร์รี่มากถึง 20 ผล
จะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้มากกว่าการกินยา เนื่องจากในผลเชอร์รี่มีสารที่ชื่อว่า แอนโธไซยานิน (Anthocyanin) 
ซึ่งเป็นเม็ดสีในเชอร์รี่ ทำให้ผลไม้ชนิดนี้มีสีสันสดใส และมีสรรพคุณที่สำคัญคือ ทำให้คนกินมีความสุข 
ด้วยเหตุนี้แพทย์ตะวันตกจึงเรียกเชอร์รี่ว่าเป็น แอสไพรินธรรมชาติถ้าเวลาใดที่สาวๆ รู้สึกเครียดหรือเกิดอาการซึมเศร้าก็ลองเปลี่ยนจากการกินยารักษา มาใช้วิธีธรรมชาติบำบัดด้วยการกินเชอร์รี่นะคะ


ที่มา:http://campus.sanook.com/946672/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82/

                         วิธีจำ 100 พาสเวิร์ดโดยไม่ลืม



เพราะหลักสำคัญในการตั้งรหัสผ่านที่ปลอดภัยคือ รหัสผ่านควรมีความยาวอย่างน้อย 8 ตัวอักษรขึ้นไป และมีทั้งตัวอักษร ตัวเลข อักขระพิเศษผสมกัน แต่การที่ต้องมีรหัสผ่านที่แตกต่างกันในทุกแห่งและปลอดภัยด้วย นี่สิเป็นเรื่องยาก! ตัวอย่างเช่น ถ้าผมใช้บริการของจีเมล, อเมซอน, ทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ก, ธนาคารออนไลน์ หมายความว่า ต้องมีรหัสผ่าน 5 ตัวที่ไม่เหมือนกันเลยในทุกเว็บไซต์ เหตุผลที่เราต้องใช้รหัสผ่านแตกต่างกันในทุกเว็บไซต์ เพราะว่า ถ้ามีใครสามารถเดาหรือเจาะรหัสผ่านของเราได้ในเว็บหนึ่ง และเราใช้รหัสผ่านเดียวกันในทุกเว็บไซต์แล้วล่ะก็ ผู้ไม่หวังดีก็สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ทุกแห่งที่เราใช้บริการได้ทันที แต่ถ้าเราใช้รหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกัน ผู้ไม่หวังดีก็สามารถเจาะได้เพียงแห่งเดียว ไม่สามารถเจาะเว็บไซต์อื่น ๆ ด้วยรหัสผ่านนั้นได้อีก
ข้อเสียของการที่ต้องจำรหัสผ่านหลายตัวคือ เราใช้บางรหัสผ่านนาน ๆ ครั้งหนึ่ง ทำให้เราลืมและเสียเวลาตั้งรหัสผ่านใหม่ (และลืมอีก) ผมได้พบบทความเกี่ยวกับการตั้งรหัสผ่านโดยไม่ซ้ำกันและจดจำง่ายจากเว็บไซต์ LifeHacker.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่แนะนำเคล็ดลับในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานยุคไอทีก็ เลยมาเล่าสู่กันฟังครับ
หลักสำคัญของการตั้งรหัสผ่านที่ไม่ซ้ำกันคือ มีกฎเกณฑ์ในการตั้งรหัสที่แน่นอน โดยผสมข้อมูลของเว็บไซต์และข้อมูลที่กำหนดล่วงหน้า
ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่กำหนดล่วงหน้าของผมคือ CU68+ และผมต้องการสร้างรหัสผ่านสำหรับเว็บ Amazon.com ผมก็จะนำอักษร 3 ตัวแรกของชื่อเว็บคือ Ama มารวมกับข้อมูลล่วงหน้าคือ CU68+ ก็จะได้รหัสผ่าน AmaCU68+ ในทำนองเดียวกัน รหัสผ่าน Facebook ของผมคือ FacCU68+ แต่วิธีนี้คนอื่นอาจเดารูปแบบได้ง่าย ลองสลับตำแหน่งเป็น FCUac+68 จะเห็นว่าค่อนข้างสับสนอลหม่านใในสายตาผู้อื่นครับ
ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของเราแล้วครับว่า เราจะกำหนดข้อมูลล่วงหน้าของเราอย่างไรว่าไม่ให้คนอื่นสามารถคาดเดาได้ ส่วนข้อมูลจากเว็บไซต์ที่จะใช้ในรหัสผ่านก็เช่นกัน เราอาจไม่จำเป็นต้องใช้ตัวอักษรจากเว็บไซต์ตรง ๆ ก็ได้ เช่น อาจใช้อักษรตัวแรกและตัวสุดท้ายในชื่อเว็บ twitter ก็จะได้ tr จากนั้นเพิ่มสองตัวอักษรที่อยู่ถัดจากตัว t คือ u และอักษรที่ถัดจากตัว r คือ s ต่อท้าย เราก็จะได้ trus เมื่อมารวมกับข้อมูลล่วงหน้าของเราเช่น /T’=yp/  ก็จะได้รหัสผ่านคือ /trusT’=yp/
แต่ไม่ว่าเราจะมีตัวช่วยในการจดจำ และสร้างรหัสผ่านมากเพียงใดก็ตาม โปรดระลึกเสมอว่า สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในการเก็บรหัสผ่านคือ สมองของเราเอง