วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมทำแล้วผ่อนคลาย สบายใจ

วาดภาพ
     ไม่ต้องกังวล ถ้าฝีมือทางศิลปะของเราไม่เข้าขั้น เพราะการวาดรูปครั้งนี้ไม่มีการให้คะแนนท้ายชั่วโมง หนุ่มสามารถวาดรูปได้ตามใจ ไม่ว่าจะคิดอะไรอยู่ อาจจจะเป็นรูปเหมือน แมวตัวหนึ่งกำลังนอน พ่อกำลังจูงลูกตัวเล็กเดินเล่น กระถางต้นไม้ที่มีดอกไม้กำลังเบ่งบาน แน่นอนไม่ต้องออกมาสวบงาม แค่ตัวเรารู้ว่ามันเป็นอะไร นั่นก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ความเครียดอาจเกิดจาก การใช้สมองซีกซ้ายสร้างมันขึ้นมา ดังนั้นลองใช้สมองซีกขวาให้ความรู้สึกผ่อนคลายดู
เขียนระบายความในใจ
     ปัญหาบางอย่างยากมากที่จะพูดกับใคร หรือบางทีก็ยากที่จะเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูด การเขียนใส่ลงในกระดาษเพื่อระบาย เป็นวิธีช่วยทำให้สบายใจขึ้น อีกครั้งที่ไม่ต้องมีถ้อยคำที่สวยหรู หรือเป็นประโยคที่ดีเลิศ หรือบางทีก็ไม่ต้องสะกดให้ถูกไวยกรณ์ด้วยซ้ำ เมื่อเขียนอย่างพอใจ ให้ทิ้งมันไว้สัก 2-3 วัน หรือ หนึ่งเดือนหลังจากนี้ แล้วกลับมาอ่านมันอีกครั้ง คุณอาจอยากลองควบคุมอารมณ์ในครั้งต่อๆ ไปก็ได้
หายใจ (หอมระเหย)
     การหายใจคือสิ่งที่ทำประจำ แต่ครั้งนี้เราจะใส่ใจกับการหายใจมากกว่าทุกครั้ง ให้หนุ่มๆ หายใจเข้าลึกๆ จนท้องพอง (ถ้าหายใจแล้วท้องฟีบลงแปลว่าผิดนะ) หลังจากนั้นให้กลั้นหายใจ วิธีนี้ส่วนต่างๆ ของร่างกายจะสามารถดูดซึมออกซิเจนได้ดีขึ้น หนุ่มๆ ต้องเลือกสถานที่ที่จะสูดอากาศด้วยนะ ถ้าไปยืนริมถนนนี่แย่เลย การสูดกลิ่นน้ำมันหอมระเหยอย่างกลิ่น กุหลาบ, ลาเวนเดอร์, ส้ม, เลมอน ช่วยให้อารมณ์เราผ่อนคลายง่ายขึ้น
ฟังเพลง อีซี่ ลิสซินนิ่ง
     การใช้ดนตรีในการบำบัดเป็นที่ยอมรับกันมานาน ถึงขนาดใช้กับสัตว์ก็ยังได้ผล เช่น เปิดเพลงให้ไก่ฟัง ไก่ยังออกไข่สม่ำเสมอและคุณภาพดีด้วย แต่พี่มิ้งคงไม่ได้หวังให้หนุ่มๆ ออกไข่คุณภาพดี แค่แนะนำให้ฟังเพลงฟังสบายแนว easy listening เช่น ดนตรีอะคูสติก ดนตรีบรรเลง ดนตรีที่เล่นด้วยอูคูเลเล่ เพราะเพลงเหล่านี้จะเป็นตัวทำปฏิกกิริยาต่ออารมณ์หนุ่มๆ ให้ผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี
 ลาหยุดไปพัก
     การตกตะกอนทางอารมณ์ อาจมาจากสัญญาณทางร่างกาย เช่น หนุ่มๆ เครียดเกินไปแล้ว หนุ่มๆ พักผ่อนน้อยเกินไปแล้ว หรือหนุ่มๆ เรียนหรือทำงานมากเกินไปแล้ว ดังนั้นการลาหยุด 1 วัน เป็นอะไรที่สมควรทำ เราจะรู้สึกได้ตั้งแต่การไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้า การปล่อยตัวตามสบายไม่ต้องแข่งกับเวลา การใช้เวลาของวันไปอย่างช้าๆ กับการวาดรูป อ่านหนังสือ หลับสักงีบ หรือออกไปสถานที่ต่างๆ นั่งมองสภาพแวดล้อมและปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อยก็น่าสนใจ พอหมดวันเราจะรู้สึกถึงความสบายใจที่กลับมาเลย
เดินชมสวน
     คนเมืองเมื่อเจอกับป่าคอนกรีตเป็นประจำ จึงอยากให้ไปเจอกับธรรมชาติบ้าง ที่พอจะหาได้ในเมืองก็คือ สวนสาธารณะ มนุษย์เรามาจากธรรมชาติ ทุกครั้งที่เราได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ จะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกประหลาด ทั้งเป็นกันเอง ผ่อนคลายและสงบร่มเย็น เป็นการกลับไปขอพลังจากธรรมชาติเพื่อชาร์จพลังกลับคืนมา
จิบชายามบ่าย
     ยามบ่ายเป็นช่วงเวลาที่พลังงานกำลังอ่อนแรง การเบรคสักช่วงจะช่วยเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายได้ เริ่มที่ชงชาถ้วยเล็กๆ 1 ถ้วย แถมด้วยเค้กชิ้นเล็กๆ อีกชิ้น ค่อยๆ ชิมรสชาติสองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างช้าๆ ปล่อยความคิดให้โล่ง แค่เพียงเวลา 15-20 นาที ก็เรียกความรู้สึกสบายมาได้มากโข
อ่านคำคม
     คุณลองเดินเข้าร้านหนังสือ หาหนังสือรวบรวมคำคม หรือสุภาษิตสอนใจ เพราะการอ่านประโยคเหล่านี้ ทำให้สมองหนุ่มๆ ได้คิดหาความหมายและคิดตามไปถึงความเป็นจริง จนกระทั่งนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตของตัวเองที่ผ่านมาเลย ที่สำคัญการคิดแบบนี้ส่วนใหญ่ เป็นการคิดในด้านดี วิธีนี้น่าสนใจไม่เบาครับ
หลับสักงีบ
     เวลาพักกลางวันอาจงดการเตะฟุตบอล แต่รีบขึ้นมาบนห้องเพื่อมีเวลางีบสัก 20-30 นาที ก่อนจะเรียนคาบบ่าย แต่ถ้าวันที่อยู่บ้าน ก็ใช้เวลาในช่วงบ่ายนอนหลับสักงีบใหญ่ๆ จะทำให้ร่างกายสดชื่น พร้อมจะสู้ต่อไปแล้ว
 ทำอาหาร
     อีกครั้งที่หนุ่มๆ ไม่ต้องกังวลในเรื่องทักษะ เพราะมันอาจจะเป็นแค่เมนูประหลาด ที่ทำเองได้ง่ายๆ อย่างไข่เจียวใส่เห็ดสับราดซอสมะเขือเทศ หรือข้าวผัดทูน่า(กระป๋อง) แล้วอย่าลืมตั้งชื่อให้มันสุดยอดด้วยนะ ข้าวผัดDHAปลาทะเลน้ำลึก ส่วนเรื่องรสชาติก็ต้องวัดดวงกันแล้วล่ะ การทำอาหารกินเองทำให้หนุ่มๆ สนุก ภูมิใจและมีความสุขกับอะไรง่ายๆ ครับ
ผิวสวยด้วยน้ำ
ผิวสวยด้วยน้ำ
น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถขาดได้ ในชีวิตประจำวันของคนเรา โดยปกติเราจะดื่มน้ำก็ต่อเมื่อคอแห้ง หรือดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหารเพื่อดับกระหายเท่านั้น ซึ่งนั่นอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่ถ้าเราลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำกันใหม่ เราก็สามารถผิวสวย สุขภาพดีได้แบบไม่ต้องลงทุนเหมือนกันนะจ๊ะ ด้วย 6 เคล็ดลับผิวสวยด้วยน้ำคะ
1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำ ดื่มน้ำแร่ธรรมชาติให้ได้วันละ2ลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำบริสุทธิ์ในปริมาณที่เพียงพอ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสม ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร และ ขับของเสียไปตามกระแสเลือด
2. วางน้ำดื่มไว้ข้างเตียงก่อนเข้านอน เมื่อตื่นมากลางดึก ถ้าร่างกายได้น้ำดื่มสักแก้วจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย และสามารถนอนหลับต่อได้อย่างง่ายดายคะ
3. พกน้ำดื่มติดตัวไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ระหว่างการเดินทาง หรือที่บ้าน เป็นต้น เพราะการดื่มน้ำให้ติดเป็นนิสัย จะทำให้สุขภาพดีนะจ๊ะ
4. ดื่มน้ำจากขวดให้ได้บ่อยที่สุด เพราะดื่มง่าย พกพาสะดวก และเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำได้มากขึ้นด้วย
5. ดื่มน้ำให้สม่ำเสมอเมื่อเล่นกีฬา โดยดื่มน้ำทั้งก่อนและหลังการออกกำลังกายในปริมาณที่มากพอ เพื่อชดเชยการเสียเหงื่อของร่างกาย
6. ไอเดทด้วยน้ำ ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนและหลังรับประทานอาหารกลางวัน จะช่วยลดอาการหิวควบคุมปริมาณการทานอาหาร และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูงประเภทอื่นคะ
การดื่มน้ำให้ถูกวิธีก็เป็นอีกหนึ่งที่สามารถช่วยทำให้ผิวของเราดูเปล่งปลั่งสดใส และมีสุขภาพดีนะจ๊ะ

ที่มา : http://lady.one.in.th/%e0%b8%9c%e0%b8%b4%e0%b8%a7%e0%b8%aa%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b3/

เคล็ดลับแต่งตัวพรางส่วนเกิน

เคล็ดลับแต่งตัวพรางส่วนเกิน




เคล็ดลับหุ่นสวยถึงแม้เราจะไม่ได้เกิดมามีหุ่นเพอร์เฟค เหมือนอย่างลูกเกด ก็อย่าน้อยใจในโชคชะตาไปเลย บางคนอาจ จะขาใหญ่ไปนิด สะโพกบึ๊บบั๊บไปหน่อย เลิกกังวลกับปัญหารูปร่างที่ไม่ได้สัดส่วนได้แล้ว เพราะผู้หญิงสวยและฉลาด ไม่จำเป็นต้องมานั่งลดความอ้วนให้ยุ่งยาก ถ้าหากคุณรู้จักการแต่งตัวพรางส่วนเกินให้ถูกวิธี

สาวสะโพกใหญ่

  • กางเกงสีดำทรงพอดีตัว ไม่คับหรือหลวมเกินเหมาะมาก
  • เลือกหากระโปรงทรงเอไว้ใส่สะโพกจะดูเล็ก และพรางได้ดี แต่อยากใส่กระโปรงสอบควรเลือกที่พอดีไม่คับหรือหลวมเกิน และมีดีไซน์ที่ชายกระโปรงจะดึงจุดสนใจไปจากสะโพก
  • อย่าเลือกกางเกงที่มีเข็มขัดเพราะจะทำให้สะโพกดูกว้างมโหฬาร
  • ไม่ควรเลือกกางเกงหรือกระโปรงที่มีการตกแต่งที่เอว หรือสะโพก หรือมีสีอ่อนกว่าเสื้อเด็ดขาด
  • อย่าเลือกซื้อกางเกงหรือกระโปรงที่ใช้ผ้าหนาๆ เพราะจะทำให้สะโพกดูหนาปึ้กตามไปด้วย หรือผ้าแนบเนื้อกินไปก็ไม่ดี เพราะจะเห็นสะโพกใหญ่มหึมาชัดเจน
  • เลือกเสื้อแบบที่มีความยาวปิดช่วงสะโพกจะช่วยได้มาก


สาวไหล่ใหญ่
  • ใส่เสื้อที่เป็นคอวีเพื่อให้ดูไหล่แคบลง หรือ เสื้อที่มีไหล่ตามยาว เพื่อให้ดูไหล่ไม่กว้าง
  • หาอะไรกุ๊กกิ๊กมามีตกแต่งที่คอเสื้อเพิ่มเติม เช่น ผ้าพันคอหรือสร้อย นอกจากจะช่วยให้ไหล่ดูเล็กลง ยังดึงความสนใจจากไหล่ไปที่ผ้าแทนอีกด้วย
  • พยายามเลือกกางเกงหรือกระโปรงสีอ่อน แล้วใส่คู่กับเสื้อสีเข้มไหล่จะเล็กลงได้ดังใจ
  • อย่าใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผยไหล่จนหมดเปลือก และไม่ใส่เสื้อแบบหลวมๆ หรือเสื้อที่มีฟองน้ำหนุนไหล่ จะยิ่งทำให้ไหล่หนาจนน่าเกลียด
  • อย่าใส่ช่วงบนเป็นสีอ่อนเด็ดขาด และที่สำคัญมากคือ ไม่ควรใส่เสื้อลายขวางเลย


สาวขาใหญ่
  • กางเกงสีดำทรงตรงตัวหลวม หรือกางเกงขาบานสีเข้มจะช่วยไม่ให้เห็นสัดส่วนของขาชัด หรือเลือกใส่ลายตามยาวสีเข้มๆ ก็ช่วยให้ดูขายาวแลเล็กลงได้
  • อย่าเลือกซื้อกางเกงสีอ่อนหรือกางเกงที่คับจนเห็นขาทั้งแท่ง เช่น กางเกงยีนผ้ายืด เพราะจะทำให้เน้นช่วงขาดูใหญ่ โดยเฉพาะต้นขา
  • เลือกใส่เสื้อสีอ่อน กับกางเกง หรือกระโปรงสีเข้มจะเหมาะมาก และถ้าจะให้ดีหาเสื้อแบบสายเดี่ยวเสียวหลุด หรือแขนกุดมาใส่เพื่อคนรอบข้างจะได้สนใจแต่ช่วงบนลืมช่วงล่างไปเลย
  • ใส่กระโปรงยาวทรงเปิดช่วงล่างไปเลยเพื่อตัดปัญหา แต่อย่าใส่กระโปรงที่ผ่าสูงจนเกินไป เดี๋ยวชาวบ้านจะตกใจนึกว่าท่อนอะไรแว๊บๆ
 ที่มา : http://campus.sanook.com/teen_zone/senior_01193.php

คนแรก และสิ่งแรกของไทย

กษัตริย์ไทยพระองค์แรก (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์)
นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย (พระยามโนปกรณ์นิติธาดา)
ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของไทย (เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี)สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงคนแรกของไทย (นางอรพินท์ ไชยกาล)
อธิบดีหญิงคนแรกของไทย (คุณหญิงอัมพร มีศุข อธิบดีกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ)
จอมพลคนแรกของเมืองไทย (จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เจ้าฟ้า ฯ กรมพระยาภาณุพันธุวาษ์วรเดช)
นักดาราศาสตร์คนแรกของไทย (รัชกาลที่ 4)นางสาวไทยคนแรกของประเทศไทย (นางสาวกันยา เทียนสว่าง)
นางสาวไทยคนแรกที่ชนะการประกวดนางงามจักรวาล (นางสาวอาภัสรา หงสกุล)
สตรีไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลแมกไซไซ (คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง)
นักมวยไทยคนแรกที่ได้ครองตำแหน่งแชมป์โลก (โผน กิ่งเพชร)
นักพากย์ภาพยนตร์คนแรกของไทย (นายสิน สีบุญเรือง (ทิดเขียว))
นักเขียนการ์ตูนคนแรกของไทย (ขุนปฏิภาคพิมพ์ลิขิต (เปล่งไตรปิ่น))
ผู้คิดประดิษฐ์อักษรไทยคนแรก (พ่อขุนรามคำแหง)ผู้คิดตัวพิมพ์อักษรไทยเป็นคนแรก (ร้อยโท เจมส์ โลว์)
ผู้เริ่มใช้กระแสไฟฟ้าเป็นคนแรกของไทย (จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต))
ผู้เปิดเดินรถเมล์ในกรุงเทพมหานครเป็นคนแรก (พระยาภักดีนรเศรษฐ์ (นายเลิศ))ผู้ประดิษฐ์รถสามล้อขึ้นใช้ในประเทศไทยเป็นคนแรก (นายเลื่อน พงษ์โสภณ)
ผู้ให้กำเนิดลูกเสือไทยคนแรก (รัชกาลที่ 6)
ผู้เริ่มแท็กซี่ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก (พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เมื่อปี พ.ศ.2466)

ผู้ที่ริเริ่มใช้คำว่า "สวัสดี" (พระยาอุปกิตศิลปสาร)
ผู้ให้กำเนิดเพลงสรรเสริญพระบารมี (กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์)

ผู้ให้กำเนิดเพลงชาติไทย (พระเจนดุริยางค์ (บรรเลงครั้งแรกโดยวงดุริยางค์ทหารเรือ))
ผู้แต่งเพลงกราวกีฬา (เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี)
ผู้ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย" (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ)

ผู้ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย" (สมเด็จพระราชบิดา กรมหลวงสงขลานครินทร์)
ผู้ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งกองทัพเรือ" (กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์(พระราชโอรสในรัชกาลที่ 5))ผู้ได้รับยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งการสหกรณ์แห่งประเทศไทย (กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์)
ฝาแฝดคู่แรกของไทย (ฝาแฝด อิน - จัน เกิดเมื่อ 11 พฤกษภาคม พ.ศ. 2434 ที่ จ. สมุทรสงคราม)
ผู้ที่ริเริ่มใช้ ร.ศ. (รัตนโกสินทร์ศก) (รัชกาลที่ 5)
ร.ศ. 1 ตรงกับปี พ.ศ. (พ.ศ. 2331)
โรงพยาบาลแห่งแรกของไทย (โรงพยาบาลศิริราช)
มหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
โรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของไทย (โรงเรียนอนุบาลที่โรงเลี้ยงเด็ก ซึ่งพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ พระอั
ครชายาใน รัชกาลที่ 5เป็นผู้ให้กำเนิด)
ธนาคารเอกชนแห่งแรกของไทย (แบงก์สยามกัมมาจล (ปัจจุบัน คือธนาคารไทยพาณิชย์))
โรงภาพยนตร์โรงแรกในกรุงเทพฯ ที่ฉายจอซีนีมาสโคป (โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย)

ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ออกฉายให้ประชาชนชมครั้งแรกเรื่ อง (นางสาวสุวรรณ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2466)โรงแรมแห่งแรกของไทย (โรงแรมโอเรียนเต็ล)
โรงพิมพ์แห่งแรกของประเทศไทย (โรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ ตั้งอยู่ที่ธนบุรี)
บทประพันธ์ที่ทำการขายลิขสิทธิ์ครั้งแรกในประเทศไทย (นิราศลอนดอนของหม่อมราโชทัย ขายให้กับหมอบรัดเลย์)

แบบเรียนเล่มแรกของคนไทย (หนังสือจินดามณี พระโหราธิบดีเป็นผู้แต่ง)
หนังสือไทยเล่มแรก (หนังสือไตรภูมิพระร่วง)
หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย (หนังสือพิมพ์บางกอกรีคอดเดอร์ เมื่อปี พ.ศ.2387)
ปฏิทินฉบับภาษาไทยของประเทศไทยจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ (ปี พ.ศ.2385)
วิทยุโทรทัศน์มีขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อ (ปี พ.ศ.2497 สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม)
สถานีโทรทัศน์แห่งแรกของประเทศไทย (สถานีโทรทัศน์ ไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม ปัจจุบัน คือ ช่อง 9 อสมท.)

โรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรแห่งแรก (โรงเรียนวัดมหรรณพาราม)

ที่มา : http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php/topic,662.0.html

ประวัติอาร์คีมีดีส

อาร์คีมีดีส (Archimedes ประมาณ 287-212  ปี ก่อนคริสต์ศักราช) นักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ชาวกรีก สนใจการหาพื้นที่วง กลม ปริมาตรของทรงกระบอกและกรวย นักคณิตศาสตร์สมัยนี้รู้จักคำนวณอตรรกยะ เช่น และ  (พาย) และสามารถคำนวณค่าโดยประมาณได้โดยใช้เศษส่วน อาร์คีมีดีสพบว่า มีค่าประมาณ วิธีการหาค่า (นำไปสู่การค้นพบวิชาแคลคูลัส นอกจากนี้อาร์คีมีดีส เคยประดิษฐ์ระหัดทดน้ำ พบกฎการลอยตัวและกฎเกณฑ์ของคานงัด และได้นำไปใช้ในการสร้างเครื่องผ่อนแรงสำหรับยกของหนัก
           ส่วนชาวโรมัน สนใจคณิตศาสตร์ในด้านนำไปใช้ในการก่อสร้าง ธุรกิจและการทหาร  ตัวเลขแบบโรมันเป็นดังนี้
           เลขโรมัน             I   II   III   IV   V   VI   VII   VIII   IX    X    C
           เลขฮินดูอารบิค     1   2    3    4    5   6     7      8      9   10   100

แนะวิธีหยุด ‘สะอึก’

สะอึก’ ทาง การแพทย์อธิบายอาการไม่พึงประสงค์ไว้ว่า กล้ามเนื้อกะบังลมบริเวณรอยต่อระหว่างช่องปอดกับช่องท้องเกิดการหดเกร็งโดย ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่อาจสันนิษฐานว่า มีสิ่งไปกระตุ้นเส้นประสาท 2ตัว คือ Vagus nerve และ Phrenic nerve ซึ่ง เป็นส่วนที่เชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้น ส่วนเสียงสะอึกที่เกิดขึ้นจากการหายใจออกระหว่างที่กระบังลมกระตุกแบบ ปัจจุบันทันด่วนนั่นเอง
สำหรับบางคนเวลาสะอึกถึงกับกลายเป็นจุดสนใจ เพราะเสียงสะอึกดังกึกก้อง แถมตัวก็กระตุก แม้พยายามเอามือปิดปาก และนั่งนิ่งๆ ก็ข่มอาการเอาไว้ไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่วิธียอดนิยมที่ใช้แก้อาการดังกล่าว คือ การดื่มน้ำลง ทว่าในช่วงเวลานั้น ไม่สามารถหาน้ำดื่มได้ แนะนำให้ใช้วิธีกดจุด
การกดจุดแก้สะอึก เป็นเคล็ดลับทางแพทย์แผนจีน โดยให้กดจุดจ่านจู๋ ที่อยู่ในตำแหน่งหัวคิ้วทั้งสองข้าง ก่อนกดจุดให้นั่งหลังตรงหรือนอนหงาย จากนั้นใช้นิ้วโป้งกดลงที่หัวคิ้วพร้อมกันทั้งสองข้าง ขณะกดให้ค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักเบาแล้วแรง นิ้วที่เหลือให้ศีรษะไว้ โดยกดแบบเบาสลับหนักค้างไว้จนกว่าจะหายสะอึก ที่มักหายภายใน 2-3นาที
อย่างไรก็ตาม หากสะอึกนานกว่านั้นเป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือมีอาการติดๆ กันเป็นประจำ ประกอบกับพบอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น หายใจติดขัด เวียนศีรษะ เจ็บหน้าอก ควรรีบไปพบแพทย์ เนื่องจากอาจเกิดความผิดปกติกับระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ หรือระบบสมองและเส้นประสาท
ที่มา  http://health.deedeejang.com/7/2727.html